AE วิชาการจัดการนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง
ปัญหาผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง
1. ที่มาและจุดเริ่มต้นของปัญหา
ความสามารถในการลดอัตราการเกิดและการตายให้ต่ำลง
ประกอบกับอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประชากรวัยสูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
จึงก่อให้เกิดปัญหาตามมา ได้แก่ ปัญหาผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการเอาใจใส่และดูแลเท่าที่ควร
ปัญหาด้านสุขภาพที่เสื่อมโทรมของผู้สูงอายุ และปัญหาทางเศรษฐกิจ และสังคม เป็นต้น
ขณะเดียวกันประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีระบบการเฝ้าระวังการฆ่าตัวตายในผู้สูงอายุ
ส่วนประเทศไทยนั้นมีผู้สูงอายุที่หลีกหนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย 17 คนต่อประชากรในกลุ่มเดียวกันแสนคนจะเห็นว่าจำนวนของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นๆ
ขณะช่วงวัยอื่นๆ กลับมีแนวโน้มลดลง จากสถิติผลการวิจัยของประเทศไทย ยังระบุว่าในปี
พ.ศ. 2569 จำนวนผู้สูงอายุกับช่วงวัยเด็ก
มีจำนวนเท่ากันและมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ช่วงวัยเด็กมีจำนวนลดลง
ส่วนช่วงวัยทำงานกลับมีอัตราการตายสูงขึ้นๆ
ด้วยปัญหาโรคเอดส์หากเราปล่อยให้จำนวนผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันกลุ่มคนในช่วงวัยอื่นๆ มีแนวโน้มลดลง แล้วใครจะเป็นคนดูแล ช่วยเหลือ
ปรนนิบัติ ผู้สูงอายุเหล่านั้น
เมื่อจำนวนของกลุ่มคนวัยทำงานที่มีศักยภาพในหลายด้านมีจำนวนลดน้อยลง ภาระหน้าที่ในการดูแล
เอาใจใส่ผู้สูงอายุภายในครอบครัวเริ่มด้อยประสิทธิภาพ
ผู้สูงอายุจะถูกปล่อยปละละเลยมากขึ้น ทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว
โดดเดี่ยว เร่ร่อนตามที่ต่างๆ
ภาพเหล่านี้จะวนเวียนอยู่ในสังคมไทยและสังคมโลกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะมาช่วยกัน
สร้างความเข้าใจ
พร้อมไปกับร่วมแก้ปัญหาผู้สูงอายุที่เกิดขึ้นในสังคมให้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
ไม่ใช่ปล่อยปัญหาของผู้สูงอายุให้เป็นปัญหาที่รุมเร้าสังคมไทยตลอดถึงสังคมโลกอย่างเช่นทุกวันนี้ในวันวานของผู้สูงอายุเคยมีบทบาทกับชีวิตพวกเราหลายต่อหลายคน
มาวันนี้บทบาทหลายเรื่องราวลดทอดลงด้วยหลายๆ เหตุผล
หากยังปล่อยให้ปัญหาผู้สูงอายุถูกแก้อย่างไม่มีทิศทางเหมือนเช่นที่ผ่านมา
ชีวิตของผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยคงมีเพียงอดีต
หากแต่ปัจจุบันนั้นคงถูกฝังไปกับกาลเวลาที่ผ่านเข้ามาอย่างไม่มีหยุดมันลงได้
2. สภาพปัญหาในปัจจุบัน
ปัจจุบันปัญหาผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งมีอยู่จำนวนมากในทุกจังหวัดทั่วประเทศ
แม้รัฐบาลบอกว่าจะไม่ทอดทิ้ง แต่ก็ให้การช่วยเหลือได้ไม่ทั่วถึง
เพราะมีหลายปัจจัยที่ทำให้ข้อมูลตกหล่น
ผู้สูงอายุหลายคนจึงต้องอยู่อย่างเดือดร้อนตามลำพัง ด้วยการอาศัยเพื่อนบ้าน
หรือผู้มีน้ำใจและศรัทธาให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้
อย่างที่
จ.สมุทรสงคราม หรือเมืองแม่กลอง ที่มีประชากรแค่เกือบ 2 แสนคน แต่มีผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งสูงมาก เนื่องมาจากเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง
ปัญหาความยากจน ปัญหาในครอบครัวและปัญหาสังคม ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นคือ
ลูกหลานติดยาเสพติด หากไม่ถูกจับก็ร่อนเร่พเนจรไปมั่วสุมไม่กลับบ้าน จนกว่าจะจนตรอกจริงๆ
จึงย้อนมาหาเพื่อขอเงินไปเกี่ยวข้องกับอบายมุขต่อไป
อีกปัญหาหนึ่งก็คือ
ลูกหลานไปทำงานนอกบ้านต่างเมือง เนื่องมาจาก จ.สมุทรสงคราม
ถูกจำกัดพื้นที่ในเรื่องของการจัดสร้างโรงงานอุตสาหกรรม
ไม่ให้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่เข้ามาอย่างเด็ดขาด วัยแรงหนุ่มสาวส่วนใหญ่จึงพากันไปขายแรงงานในต่างจังหวัด
บางรายไปเช้าเย็นกลับ บางรายอาจไปค้างแรมเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน หรือเป็นปี
ผู้สูงอายุจึงถูกทอดทิ้งให้เฝ้าบ้าน บางทีต้องเลี้ยงหลานเหลนจนไม่มีเวลาพักผ่อน
ภาพที่ต้องมานั่งไกวเปลจึงปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป
น.ส.อัจฉรา
พุ่มมณีกร หัวหน้าสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.สมุทรสงคราม
กล่าวว่า ใน จ.สมุทรสงคราม มีผู้สูงอายุและคนชราประมาณกว่า 3 หมื่นคน เกือบทุกคนได้รับเบี้ยยังชีพไม่ต่ำกว่าเดือนละ 500 บาท ต้องยอมรับว่าไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย
หากไม่ได้รับการดูแลจากครอบครัวที่เป็นพี่น้องหรือบุตรหลาน
บางรายอาจต้องอาศัยข้าววัดกิน อาศัยที่วัดอยู่
หากสำนักงานพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์พบเห็นหรือได้รับข้อมูลแจ้งมา
ก็จะให้การช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับเรื่องเบี้ยยังชีพอย่ามองว่าน้อย
เพราะยังมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก เช่น
คนชราและผู้สูงอายุที่อยู่ในเขตเทศบาลต่างก็จะได้รับเบี้ยยังชีพของเทศบาล
ส่วนที่อยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล หรือ อบต. ก็มีเบี้ยยังชีพให้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังได้รับเครื่องบริโภคอุปโภคอีกด้วย และบางรายยังได้รับความเมตตา
ความสงสารจากเพื่อนบ้านและผู้ที่พบเห็น
เชื่อว่าผู้สูงอายุบางรายอาจเพียงพอต่อการดำรงชีวิต
หากไม่ฟุ่มเฟือยหรือเอาเงินไปดื่มสุราและเล่นการพนัน
ปัญหาต่อมาก็เรื่องการขาดแคลนและอดอยาก
ที่หน่วยงานซึ่งรับผิดชอบต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่เรื่องดังกล่าวก็เกิดซ้ำซากจนบางรายลูกหลานเอือมระอาและทอดทิ้งไปในที่สุด
จึงอยากให้ผู้สูงอายุประคับประคองตัวเองให้อยู่รอด
หากมีปัญหาก็ติดต่อมาได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จ.สมุทรสงคราม ได้
อย่างไรก็ตาม
ปัญหาของผู้สูงอายุยังไม่ได้มีเพียงแค่นี้
เพราะเท่าที่ได้รับการร้องเรียนมีหลายตำบลระบุว่า เบี้ยยังชีพของผู้สูงอายุเดือนละ
500
บาทนั้น ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บาง อบต.จ่ายเป็นรายเดือน บาง
อบต.ก็จายเป็นราย 6 เดือน หรือ 1 ปี
บัญชีเบิกไม่ชัดเจน มีการขูดขีดฆ่าหรือปลอมแปลงเอกสาร
การเบิกจ่ายมีการเซ็นชื่อมอบฉันทะให้คนอื่นไปรับแทน สิ่งเหล่านี้หากเกิดขึ้นจริงก็เท่ากับเป็นการทุจริตในวงราชการ
ข้อสำคัญคือเป็นการทำนาบนหลังคน และคนเหล่านั้นเป็นผู้ชราอีกด้วย
ผู้สูงอายุรายหนึ่งในเขต
อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม เปิดเผยว่า ในปี 2552 ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพียง
6 เดือน อีก 6 เดือนหายไป
เจ้าหน้าที่อ้างว่ารัฐบาลจ่ายให้แค่ 6 เดือนเท่านั้น
แต่หลังจากนั้นก็ได้รับเดือนละ 500 บาทตลอด ไม่ทราบเงิน 6
เดือนที่ไม่ได้รับนั้นหายไหน อยากให้มีการตรวจสอบด้วย
ขณะที่ผู้สูงอายุอีกรายในอำเภอเดียวกันก็บ่นว่า
สมัยก่อนกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ดูแลเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ฝนก็ตกไม่ทั่วฟ้า คือได้บ้าง
ไม่ได้บ้าง
เพราะกำนันและผู้ใหญ่บ้านบางรายจะจ่ายให้กับผู้สูงอายุที่เป็นเครือญาติก่อน
ถ้าเงินเหลือก็จะจ่ายให้กับลูกบ้านคนอื่นๆ ปัจจุบันการจ่ายเบี้ยยังชีพโอนไปให้
อบต.รับผิดชอบก็เข้ากรอบเดิม เท่ากับว่าผู้สูงอายุหนีเสือปะจระเข้
ทั้งหมดนี้เป็นความรู้สึกที่หดหู่
น่าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน จ.สมุทรสงคราม
รวมไปถึงจังหวัดอื่นควรจะลงพื้นที่ตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริง
เพราะปัญหาเหล่านี้มีอยู่จริงในทุกท้องที่ทั่วประเทศ และอย่าตรวจสอบเฉพาะข้อมูล
เอกสารการเบิกจ่าย และการเซ็นชื่อรับเบี้ยยังชีพเท่านั้น แต่ต้องลงไปดูให้ถึงที่
เนื่องจากมีตัวอย่างมาแล้ว เช่น การสำรวจ จปฐ.ของหน่วยงานใน จ.สมุทรสงคราม
ที่จ้างคนสำรวจบ้าง เจ้าหน้าที่ออกสำรวจเองบ้าง ข้อมูลส่วนใหญ่จะไม่ตรงกัน
เพราะเจ้าหน้าที่และผู้รับจ้างส่วนใหญ่ไปสำรวจแค่บ้านกำนัน บ้านผู้ใหญ่บ้าน และบ้าน
อบต. ลอกเอาข้อมูลมา หรือที่แนบเนียนที่สุดก็ไปเอาข้อมูลที่สถานีอนามัยในตำบล
ส่งผลให้การสำรวจ จปฐ.ใน จ.สมุทรสงคราม ข้อมูลส่วนใหญ่ไม่ตรงกับความเป็นจริงมากนัก
ปัจจุบันยังมีคนสมุทรสงครามอีกมากมายที่ตกสำรวจ
จปฐ. เช่นเดียวกับผู้สูงอายุ คนชราและผู้ด้อยโอกาส และคนเหล่านี้จำนวนไม่น้อยยังไม่เคยได้รับเบี้ยยังชีพแม้แต่บาทเดียว
3. ผลกระทบของปัญหา
(ขอบเขต, แนวโน้ม และความรุนแรง)
สภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไป
กลายเป็นกระแสทุนนิยม
ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างครอบครัวให้กลายเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น
ความรักความผูกพันในครอบครัวน้อยลง คนในครอบครัวมัวแต่สนใจเรื่องการทำงานเก็บเงิน
จนอาจมองข้ามความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวไป
ส่งผลให้สัดส่วนของผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวตามลำพังในครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
โดยในปี 2537 มีผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวร้อยละ
3.6 ในปี 2545 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.3
และข้อมูลล่าสุดในปี 2550 พบมีผู้สูงอายุอยู่คนเดียวในครอบครัวตามลำพังร้อยละ
7.7 ทั้งนี้ร้อยละ 56.7 ของผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวตามลำพังไม่มีปัญหา
ที่เหลือร้อยละ 43.3 มีปัญญา
ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงอยู่สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุที่พบบ่อยที่สุดคือ
“ความรู้สึกเหงา” สูงถึงร้อยละ 51.2
ของผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว รองลงคือปัญหาไม่มีคนดูแลท่านเมื่อเจ็บป่วย
ร้อยละ 27.5 ปัญหาด้านการเงินที่ต้องเลี้ยงชีพ ร้อยละ 15.7
และ ร้อยละ 5.3 ไม่มีลูกหลานมาช่วยแบ่งเบาภาระภายในบ้าน
ปัญหาทั้งหมดเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้งมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ
โดยจะเกิดมากที่สุดในผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้งจากลูกหลานนอกจากนี้
ผู้สูงอายุยังมีปัญหาด้านร่างกาย เนื่องจากสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงตามกาลเวลา
ส่งผลให้สุขภาพอ่อนแอ ช่วยเหลือได้น้อยลง
อีกทั้งสังคมก็ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุเกิดความรู้สึกในทางลง
มองตนเองเป็นผู้ไร้ประโยชน์และเป็นภาระของสังคม เกิดความสับสนทางอารมณ์ จิตใจ
และความเชื่อมั่นในตนเองลดน้อยลง
ท้ายสุดทำให้ผู้สูงอายุเหล่านี้อยู่ในภาวะอารมณ์เศร้า ท้อแท้ ผิดหวัง และมีปมด้อย
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ถือเป็นปัญหาทางสังคมที่จะต้องช่วยกันเร่งแก้ไขโดยด่วน
4. ผู้รับผลกระทบ
(ภาคธุรกิจใด)
ภาครัฐบาล
-
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพราะหากผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งภาครัฐบาลก็จะต้องเป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุเหล่านั้น
-
สถานพยาบาล, สถานสงเคราะห์ต่างๆ จะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูผู้สูงอายุเหล่านี้และอีกทั้งยังต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นอาจทำให้สถานที่ไม่เพียงพอต่อผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้ง
5.
ข้อเสนอแนะในการลดความรุนแรงของปัญหา
เราควรหันมาสนใจ ผู้สูงอายุ โดยเอาใจใส่และดูแลอย่างใกล้ชิด
ไม่ว่าจะในเวลาปกติหรือในเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย พูดคุยและหาโอกาสพาไปผักผ่อน หากิจกรรมให้ทำในเวลาว่าง
รวมทั้งสนับสนุนให้ได้รับการออกกำลังกายที่ถูกวิธี
เพื่อเป็นการพัฒนาร่างกายควบคู่กันไป หากิจกรรมให้ทำร่วมกันในครอบครัว
เพื่อการสร้างความอบอุ่นและความสัมพันธ์ที่ดีของสมาชิกในครอบครัว เพราะนอกจากจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาวะที่ดีแล้ว ยังจะกลายเป็นวัคซีนที่ดีของสมาชิกทุกคนในครอบครัวอีกทางหนึ่งด้วย ดังนั้น
1. ผู้สูงอายุต้องได้รับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี
ได้รับการพิทักษ์และคัดกรองให้พ้นจากการถูกทอดทิ้งและละเมิดสิทธิ
โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่
สามารถพึ่งตนเองหรือครอบครัวได้
และผู้พิการที่สูงอายุ
2
ผู้สูงอายุควรอยู่กับครอบครัวโดยได้รับการเคารพรัก ความเข้าใจ
ความเอื้ออาทร
การดูแลเอาใจใส่
การยอมรับบทบาทของกันและกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดี ในการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
3. ผู้สูงอายุควรได้รับโอกาสในการศึกษา
เรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างต่อเนื่องเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและบริการทางสังคมอันเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิต เข้าถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมรอบด้าน เพื่อสามารถปรับสภาพตนเองให้สมวัย
4 ผู้สูงอายุควรได้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้สังคมได้มีโอกาสได้ทำงานที่เหมาะสมกับวัย ตามความสมัครใจโดยได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจและเห็นชีวิตมีคุณค่า
5
ผู้สูงอายุควรได้รับการเรียนรู้ในการดูแลสุขภาพอนามัยของตนเอง ต้องมีหลักประกันและสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพอนามัยอย่างครบวงจร
โดยเท่าเทียมกันรวมทั้งได้รับการดูแลถึงวาระสุดท้ายของชีวิตอย่างสงบตามคตินิยม
6
ผู้สูงอายุควรได้รับบทบาทและส่วนร่วมในกิจกรรมของครอบครัว ชุมชน สังคม
โดยเฉพาะการรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยน
เรียนรู้ และเข้าใจอันดีระหว่างผู้สูงอายุด้วยกัน กับบุคคลทุกวัย
7 รัฐโดยการมีส่วนร่วมขององค์กรภาคเอกชน ประชาชน สถาบัน สังคมต้องกำหนดนโยบายและแผนหลักด้านผู้สูงอายุ ส่งเสริมและ
ประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการอย่างต่อเนื่องให้บรรลุตามเป้าหมาย
8 รัฐโดยการมีส่วนร่วมขององค์กรภาคเอกชน ประชาชน สถาบันสังคม ต้องตรากฎหมาย
ว่าด้วยผู้สูงอายุเพื่อเป็นหลักประกันและการบังคับใช้ในการพิทักษ์สิทธิ คุ้มครอง และจัดสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุ
9 รัฐโดยการมีส่วนร่วมขององค์กรภาคเอกชน ประชาชน
สถาบันสังคมต้องรณรงค์ปลูกฝังค่านิยมให้สังคมตระหนักคุณค่าของผู้สูงอายุตามวัฒนธรรมไทยที่เน้นความกตัญญูกตเวทีและความเอื้ออาทรต่อกัน
ความรู้ที่ได้รับจากกรณีศึกษา
1. เราควรหันมาใส่ใจผู้สูงอายุ
ควรเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด
2. ควรปลูกฝังจิตสำนึกให้มีความรักความผูกพันในครอบครัวเพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหาผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง
3. รัฐบาลควรให้การสนับสนุนเรื่องสวัสดิการของผู้สูงอายุ
4. รัฐบาลควรเขามามีส่วนร่วมในการจัดหางานที่เหมาะสมกันแรงงานผู้สูงอายุให้มีรายได้
5. อนาคตจะมีผู้สูงอายุเป็นจำนวนมากเราควรมีวิธีการเตรียมตัวรับสภาวะแรงงานผู้สูงอายุ
6. ผู้สูงอายุควรได้รับการศึกษา
เรียนรู้ ดูแลสุขอนามัยของตนเอง เพื่อที่สามารถดูแลตนเองได้
ควรดูหลายมิติทั้งกาย ใจ สังคม....รวมทั้ง...ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ตอบลบขอบคุนสำหรับบทความดีๆครับบ icareseniorshome. com
ตอบลบ